วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555
5.การป้องกันและกำจัดโรค
ในธุรกิจการเลี้ยงปลาไม่ว่าจะเป็นปลาสวยงาม
หรือปลาที่เลี้ยงเพื่อการบริโภคปัญหาหนึ่งที่ผู้เลี้ยงมักประสบอยู่เสมอ คือ เรื่องการเกิดโรค
ดังนั้นถ้าหากผู้เลี้ยงปลามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดและสาเหตุของโรค ปลาที่เกิดขึ้น
รวมทั้งวิธีการป้องกันและรักษาจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจนั้นบรรลุเป้าหมาย เป็นอย่างดีการเกิดโรคในปลามีสาเหตุมาจากปัจจัยด้วยกันเช่น
การติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อไวรัส การติดเชื้อรา น้ำในบ่อเป็นพิษอาหารที่ใช้เลี้ยงไม่เหมาะสม
เป็นต้น ดังนั้นเราควรจะได้มาทำความรู้จักกับชนิดของโรคปลาที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปกัน
อย่างสังเขปเพื่อเป็นแนวทางในการรักษาโรคปลาด้วยตัวเอง
โรคจุดขาว
ปลา
ที่เป็นโรคนี้จะมีจุดสีขาวขุ่น ขนาดเท่าหัวเข็มหมุดเล็กๆกระจายอยู่ทั่วลำตัวและครีบ
สาเหตุของโรคนี้คือโปรโตซัว ชนิดที่กินเซลล์ผิวหนังเป็นอาหาร เมื่อพยาธิโตเต็มที่จะออกจากตัวปลาโดยจนตัวลงสู่บริเวณก้นบ่อปลา
และสร้างเกราะหุ้มกันตัวต่อจากนั้นจะมีการแบ่งเซลล์เป็นตัวอ่อนจำนวนมากภาย ในเกราะนั้น
เมื่อสภาวะแวดล้อมภายนอกเหมาะสมเกราะหุ้มตัวจะแตกออกและตัวอ่อนของพยาธิจะ ว่ายน้ำเข้าเกาะตามผิวหนังของปลาต่อไป
พบโรคนี้กับปลาหลายชนิด เช่น ปลาสวาย ดุก ช่อน นิล หมู ทรงเครื่อง ปลาหมอสีฯลฯ
การป้องกันและรักษา
ยังไม่มีวิธีกำจัดปรสิตที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังที่ได้ผลเต็มที่ แต่วิธีการที่ควรทำคือการทำลายตัวอ่อนในน้ำหรือทำลายตัวแก่ขณะว่ายน้ำอิสระ
โดยการใช้สารเคมีดังนี้
1.ฟอร์มาลิน 150-200ซีซี ต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่ไว้นาน 1 ชม. สำหรับปลาขนาดใหญ่หรือ 25-50 ซีซี
ต่อน้ำ1000 ลิตร นาน 24 ชม.
2.หรือมาลาไค้ท์กรีน 1.0-1.25กรัม ต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่ไว้นาน 30 นาที สำหรับปลาตัวใหญ่หรือ 0.15 กรัม
ต่อน้ำ 1000 ลิตร นาน 24. ชม.หรือเมททิลีนบูล 1-2 กรัม ต่อน้ำ 1000 ลิตรแช่ติดต่อกัน 7 วัน
3.หรือมาลาไค้ท์กรีนและฟอร์มาลีน
ในอัตราส่วน0.15 กรัม และ 25 ซีซี ต่อน้ำ 1000 ลิตร นาน 24 ชม.แช่ติดต่อกันประมาณ 7 วัน คสรเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวันและทำการแช่ยาวันเว้นวัน
และทำการติดเทอร์โมมิเตอร์ให้น้ำมีอุณหภูมิประมาณ 28-30 องศา เซลเซียส อย่างไรก็ตามเนื่องจากปรสิตชนิดนี้ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ดังนั้นวิธีการป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ปลาที่นำมาเลี้ยงติด
เชื้อมาด้วย
โรคโอโอดีเนียม
ปลา
ที่เป็นโรคนี้จะว่ายน้ำทุรนทุราย บางครั้งพบว่ากระพุ้งแก้มเปิดอ้ามากกว่าปกติอาจมีแผลตกเลือดหรือรอยด่างสี
น้ำตาลหรือเหลืองคล้ายสีสนิมตามลำคัวครีบตกหรือลู่ลง ปลาจะทยอยตายติดต่อกันทุกวัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องปลาจะตายหมดบ่อ
โรคนี้มักพบเกิดมากในลูกปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาดุก ทรงเครื่อง กาแดง ช่อน กราย
เป็นต้น
การป้องกันและรักษา
1.แช่ปลาที่เป็นโรคนี้ด้วยฟอร์มาลิน
จำนวน 30-40ซีซี ต่อน้ำ 1000 ลิตร นาน 24 ชม.
แล้วเปลี่ยนน้ำแล้วให้ยาซ้ำอีก ปลาที่ป่วยควรจะมีอาการดีขึ้นภายใน 3-4 วัน ในระหว่างการใช้ยาถ้าที่ป่วยควรจะมีอาการดีขึ้นภายใน 3-4วันในระหว่างการใช้ยาถ้ามีปลาตายควรตักออกจากตู้ให้หมด
2.ใช้เกลือเม็ดจำนวน 5-10 กิโลกรัมต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่นาน 24 ชม.ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดและขนาดของปลาถ้าเป็นปลาขนาดเล็กควรใช้เกลือน้อยกว่าปลาตัวใหญ่
(ก่อนใช้โปรดอ่านข้อควรระวังในการใช้เกลือ)
โรคพยาธิเห็บระฆัง
โรค
นี้จะทำให้ปลาเกิดอาการระคายเคือง เนื่องจากพยาธิซึ่งเป็นปรสิตเซลล์เดียวรูปร่างกลมๆมีแผ่นขอหนามอยู่กลาง
เซลล์จะเข้าไปเกาะอยู่ตามลำตัวและเหงือกและมีการเคลื่อนที่ไปมาจากที่หนึ่ง ไปอีกที่หนึ่งอยู่ตลอดเวลาทำให้ปลาเกิดเป็นแผลขนาดเล็กตามผิวตัวและเหงือก
มักพบในลูกปลา ถ้าพบเป็นจำนวนมากก็จะทำให้ปลาตายได้หมดบ่อหรือหมดตู้ ชนิดของปลาที่พบว่าเป็นโรคนี้มีหลายชนิด
เช่น ปลาดุก ช่อน กะพงขาว ไน ตะเพียน ทรงเครื่อง สวาย เป็นต้น ควรรีบรักษาโรคนี้ตั้งแต่ปลาเริ่มเป็นโรคในระยะแรกๆจึงจะได้ผลดีกว่าปลาที่ติดเรื้อรัง
การป้องกันและรักษา
1.การใช้ฟอร์มาลิน
จำนวน 25-40 ซีซี ต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่นาน 24 ชม.
2.ใช้ดิพเทอร์เร็กซ์
จำนวน 0.25-0.5 กรัม ต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่นาน 24ชม.
โรคเมือกขุ่น
อาการ
ของโรคนี้คือปลาจะมีเมือกสีขาวขุ่นปกคลุมลำตัวเป็นหย่อมๆ หรือขับเมือกออกมาจนกระทั้งได้กลิ่นคาว
ครีบหุบ ว่ายน้ำกระเสือกกระสนบางครั้งจะลอยอยู่ตามผิวน้ำ สาเหตุของโรคนี้คือการติดเชื้อปรสิตเซลล์เดียวจำพวก
คอสเตียชิโลโดเนลล่า และโบโดโมแนส ปลาที่พบว่าเป็นโรคนี้มีหลายชนิด ได้แก่ ปลาเงิน
ปลาทอง ดุก ช่อน ฯลฯ
การป้องกันและรักษา
1.ใช้ฟอร์มาลิน
จำนวน 25-40ซีซี ต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่นาน 48ชม.
2.ด่างทับทิม
จำนวน 1-3 กรัม ต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่นาน 24 ชม.
3.เกลือเม็ด
จำนวน 5-10 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่นาน 48 ชม.
โรคจากเชื้อสปอร์โรซัว
โรค
นี้จะทำให้ปลาเป็นแผลช้ำบริเวณลำตัว หรือมีตุ่มสีขาวขุ่นอมเหลืองอ่อนคล้ายเม็ดสาคูเล็กๆ
อยู่บริเวณกล้ามเนื้อลำตัว แต่ถ้ามีการติดโรคนี้ที่เหงือกเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้ปลาหายใจไม่สะดวกและตายได้โดยเฉพาะกับปลาขนาดเล็กปลาที่มีรายงาน
ว่าเป็นโรคนี้ได้แก ปลาบู่ กระดี่ หมอไทย กะพงขาว ฯลฯ
การป้องกันและรักษา
เนื่อง
จากเป็นปรสิตชนิดที่ฝังตัวเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนัง ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้สารเคมีกำจัดได้
สำหรับสปอร์ที่หลุดออกจากเกราะแล้วอาจจะกำจัดได้โดยใช้สารเคมีชนิดเดียวกับ ที่ใช้ในการรักษาโรคจุดขาว
ส่วนบ่อหรือตู้กระจกหลังจากจับปลาขึ้นมาหมดแล้ว ควรใส่ฟอร์มาลินเข้มข้น 250 ซีซีต่อน้ำ 1000 ลิตรลงไปแล้วทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน จึงถ่ายน้ำออกจากบ่อ หรือตู้กระจกให้แห้ง
จะช่วยกำจัดปรสิตที่หลงเหลืออยู่ได้หมด
โรคหูดเม็ดข้าวสาร
ปลา
ที่เป็นโรคนี้จะมีตุ่มสีขาวขุ่นอยู่ตามลำตัวลักษณะคล้ายเม็ดข้าวสารมักพบใน กรณีที่มีการปล่อยปลาเลี้ยงอย่างหนาแน่น
และการถ่ายเทน้ำไม่สะดวกปลาจะมีอาการผอมไม่กินอาหารและทยอยตาย สาเหตุของโรคนี้เกิดจากเชื้อโรซัวร์ขนาดเล็กชนิดของปลาที่มีรายงานว่าเป็น
โรคนี้ ได้แก่ ปลาดุก สวาย
การป้องกันและรักษา
1.อย่าปล่อยปลาแน่นเกินไป
และควรทำการถ่ายเทน้ำให้กับบ่อปลาอย่างสม่ำเสมอ
2.ถ้าพบปลาเป็นโรคควรเผาหรือฝังเสีย
เพื่อป้องกันการระบาดของโรคและเมื่อปลาเป็นโรคแล้วไม่มีทางรักษา
3.ถ้านำปลาที่เป็นโรคในขั้นรุนแรงมากมาเลี้ยงในที่ที่มีน้ำถ่ายเทสะดวกและในอัตราส่วนที่ไม้หนาแน่นมากปลาก็อาจจะหายจากโรคได้เองบางส่วน
โรคจากเชื้อรา
โดย
ทั่วไปโรคที่เกิดจากเชื้อรามักจะเกิดจากเชื้อรามักจะเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ หลังจากที่ปลาเกิดเป็นแผลแบบเรื้อรังแล้วมักเชื้อราเข้ามาร่วมทำแผลให้แผล
ลุกลามไป โดยจะเห็นบริเวณแผลมีเชื้อราเกิดเป็นปุยเสียมากก็จะพบราเข้าเกาะกินไข่เสีย
เหล่านั้นก่อน และลุกลามไปทำลายไข่ดีต่อไป ถ้าหากไม่ได้ทำการรักษาอย่างทันท่วงที
การป้องกันและการรักษา
1.สำหรับปลาป่วยในโรงเพาะพักใช้มาลาค็ท์กรีน
จำนวน 0.1-0.15 กรัมต่อน้ำ 1000 ลิตร แช่นาน 240ชม.
2.กรณีของปลาป่วยในบ่อดินมักพบต้นเหตุที่ทำให้ปลาป่วยเป็นเชื้อราเนื่องจากคุณภาพของน้ำในบ่อไม่ดี
ให้ปรับด้วยปูนขาวในอัตรา 60 กิโลกรัม/ไร่
โรคเห็บปลา
ปลาที่เป็นโรคนี้เราจะสังเกตเห็นได้ว่ามีพยาธิรูปร่างกลมๆสีเขียวปนน้ำตาลขนาดประมาณ 5-7 มิลลิเมตร เกาะอยู่ตามลำตัวหัว และครีบ มักพบเกิดกับปลามีเกล็ด เช่น
ปลาช่อน แรด นิล ไน ตะเพียน เป็นต้นในปลาที่มีการติดโรคนี้เป็นเวลานาน จะมีแผลตกเลือดเล็กๆกระจายอยู่ทั่วตัว
ปลาจะว่ายน้ำทุรนทุราย และพยายามถูกับตัวเองข้าวบ่อหรือตู้เพื่อให้พยาธิหลุด
การป้องกันและการรักษา
1.แช่ปลาที่มีพยาธิตัวนี้ในสารละลายยาฆ่าแมลงจำพวกดิพเทอร์เร๊กซ์(Dipterex)ในอัตราส่วน 0.5-0.75 กรัมต่อน้ำ 1000 ลิตร นาน 24 ชม.
2.แช่ปลาในสารละลายด่างทับทิม(โปแตสเซียมเปอแมงกาเนต)
ในอัตราส่วน 1กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร นานประมาณ15-30 นาที
แล้วจึงจะย้ายปลาไปใส่ในน้ำสะอาด
3.กำจัดเห็บปลาออกโดยการจับออกด้วยปากคีบ
หากพยาธิชนิดนี้เกาะแน่นเกินไปให้หยดน้ำเกลือเข้มข้นประมาณ1-2 หยดลงบนตัวพยาธิแล้วจึงใช้ปากคีบดึงออก พยาธิจะหลุดออกโดยง่าย
4.การกำจัดเห็บปลาที่เกิดขึ้นในบ่อ
ทำได้โดยการตากบ่อให้แห้งแล้วโรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ
วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555
4.การเก็บเกี่ยวผลผลิต
การเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นข้อควรคำนึงอีกประการหนึ่งสำหรับการจัดการการเก็บเกี่ยวผลผลิต
จากการเลี้ยงในกระชังควรคำนึงถึงขนาดของปลาและปริมาณที่ตลาดต้องการ
3. รูปร่างและขนาดของกระชัง
กระชังที่ใช้เลี้ยงปลานิลมีรูปทรงต่างๆ
เช่น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และรูปกลม เป็นต้น รูปร่างของกระชังจะมีผลต่อการไหลผ่านของกระแสน้ำที่ถ่ายเทเข้าไปในกระชัง
เมื่อเปรียบเทียบปริมาณเท่ากันๆ
กระชังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะมีพื้นที่ผิวที่ให้กระแสน้ำไหลผ่านได้มากกว่ากระชังรูปแบบอื่นๆ
ขนาดกระชัง ที่ใช้เลี้ยงจะแตกต่างกันไป
ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของเกษตรกร ขนาดพื้นที่ที่แขวนกระชัง ตลอดจนปัจจัยต่างๆ
ดังกล่าวข้างต้น ขนาดกระชังที่นิยมใช้โดยทั่วไป คือ
กระชังสี่เหลี่ยม
ขนาด 1.2 x 1.2 x 2.5 หรือ 2 x 2 x 2.5 เมตร กระชังสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ขนาด 4 x 2 x 2.5 เมตร
สำหรับต้นทุนค่าสร้างกระชัง
ต้นทุนต่อปริมาตรจะลดลงเมื่อขนาดของกระชังใหญ่ขึ้นแต่ผลผลิตต่อปริมาตรก็จะลดลงด้วย
เนื่องจากกระชังใหญ่กระแสน้ำไม่สามารถหมุนเวียนได้ทั่วถึง
ความลึกของกระชังส่วนใหญ่ที่ใช้จะมีความลึก 2.5 เมตร
เมื่อลอยกระชังจะให้กระชังจมอยู่ในน้ำเพียง 2.2 เมตร
โดยมีส่วนที่โผล่พ้นน้ำประมาณ 20 - 25 เซนติเมตร
ความลึกของกระชังมีผลต่อการเจริญเติบโตของปลาเช่นกัน
ปกติระดับออกซิเจนทีละลายในน้ำจะสูงบริเวณผิวน้ำ ที่ระดับความลึกประมาณ 2 เมตร ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำเพียง 50 - 70 % ของปริมาณออกซิเจนที่ผิวน้ำเท่านั้น
ดังนั้น การสร้างกระชังไม่ควรให้ลึกเกินไป
เนื่องจากปลาจะหนีลงไปอยู่ในส่วนที่ลึกซึ่งมีปริมาณออกซิเจนต่ำ
และจะส่งผลให้ปลากินอาหารน้อยมีอัตราการเจริญเติบโตต่ำ
ดังนั้นขนาดกระชังขึ้นอยู่กับปัจจัยเป็นองค์ประกอบของการเลี้ยงซึ่งผู้เลี้ยงต้องตัดสินใจโดยพิจารณาถึงจำนวนปลาที่ปล่อย
กระชังขนาดเล็กที่ปล่อยหนาแน่น ให้ผลผลิตต่อปริมาตรสูง ดูแลจัดการง่าย
แต่ผลผลิตรวมอาจต่ำกว่ากระชังขนาดใหญ่ดังกล่าวข้างต้น
นอกจากนี้บริเวณผนังกระชังด้านบน
ควรใช้มุ้งเขียวขนาดความกว้างประมาณ 90 เซนติเมตร ขึงทับไว้เพื่อป้องกันมิให้อาหารหลุดออกนอกกระชังในระหว่างการให้อาหาร
การแขนงกระชัง ควรแขวนให้กระชังห่างกันไม่น้อยกว่า
3 เมตร
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมุมอับระหว่างกระชังเป็นการลดสภาวะการขาดออกซิเจน หากจำเป็นควรใช้เครื่องตีน้ำหรือเครื่องสูบน้ำช่วยให้เกิดการหมุนเวียนถ่ายเทน้ำภายในกระชังและเป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำอีกด้วย
ขนาดตาอวนที่ใช้ทำกระชัง
จะต้องเหมาะสมกับขนาดปลาที่เลี้ยงเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาหนีลอดไปได้
อีกทั้งจะต้องให้กระแสน้ำไหลผ่านได้สะดวกและป้องกันไม่ให้ปลาขนาดเล็กภายนอกเข้ามารบกวนและแย่งอาหารปลาในกระชัง
ขนาดตาอวนที่ใช้ไม่ควรมีขนาดเล็กกว่า 1.5 x 1.5 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้ขัดขวางการหมุนเวียนของน้ำผ่านกระชัง
กระชังควรมีฝาปิดซึ่งอาจทำจากเนื้ออวนชนิดเดียวกับที่ใช้กระชังหรือวัสดุที่เหมาะสม
ทั้งนี้เพื่อป้องกันปลาที่เลี้ยงหนีออกและปลาจากภายนอกกระโดดเข้ากระชัง
รวมทั้งป้องกันไม่ให้นกมากินปลาที่เลี้ยง
2. อาหาร การให้อาหาร และการจัดการระหว่างการเลี้ยง
การเลี้ยงปลาในกระชังเป็นรูปแบบการเลี้ยงปลาแบบพัฒนา
(intensive) หรือกึ่งพัฒนา (semi - intensive) เน้นการให้อาหารเพื่อเร่งผลผลิตและการเจริญเติบโต
จึงควรจะใช้อาหารที่มีคุณค่าทางโปรตีนค่อนข้างสูงและเหมาะสมกับความต้องการของปลาแต่ละขนาด
ปัจจัยที่สำคัญควรนำมาประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการให้อาหารปลาในกระชัง
ระดับโปรตีนในอาหาร ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของปลานิลที่มีอายุต่างกันจะแตกต่างกัน
สำหรับลูกปลาวัยอ่อน (Juvenile) และลูกปลานิ้ว (Fingerling)
จะต้องการอาหารทีมีระดับโปรตีนประมาณ 30 - 40 % แต่ในปลาใหญ่จะต้องการอาหารที่มีโปรตีนประมาณ 25 - 30 %
เวลาในการให้อาหาร เนื่องจากปลานิลจะกินอาหารได้ดี
เมื่อมีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูงจะเป็นช่วงเวลากลางวัน
ดังนั้นส่วนใหญ่จึงควรให้อาหารในช่วงเวลาดังกล่าว
ความถี่ในการให้อาหาร ปลานิลเป็นปลาที่ไม่มีกระเพาะอาหารจริงจึงสามารถกินอาหารได้ทีละน้อยและมีการย่อยอาหารที่ค่อนข้างช้า
การให้อาหารครั้งละมากๆ จะทำให้สูญเสียอาหารและก่อให้เกิดสภาวะน้ำเสียได้ ดังนั้น
เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารเม็ดสูงสุดจึงควรให้อาหารแต่น้อย แต่ให้บ่อยๆ
โดยความถี่ที่เหมาะสมคือ ปริมาร 4 - 5 ครั้งต่อวัน
จะช่วยเร่งการเจริญเติบโตและทำให้ผลตอบแทนในเชิงเศรษฐศาสตร์สูงสุด
อัตราการให้อาหาร ปริมาณอาหารที่ให้ปลากินจะขึ้นอยู่กับขนาดของปลาและอุณหภูมิ
หากอุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นจะทำให้อัตราการกินอาหารของปลาสูงขึ้นตามไปด้วย อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมประมาณ
25 - 30 องศาเซลเซียส ควรให้อาหาร 20 % ของน้ำหนักปลา สำหรับปลาขนาดเล็กในปลารุ่นอัตราการให้อาหารจะลดลงเหลือ
ประมาณ 6 - 8 % และสำหรับปลาใหญ่
อัตราการให้อาหารจะเหลือเพียง ประมาณ 3 - 4 %
การจัดการระหว่างการเลี้ยง ควรมีการตรวจสอบกระชังเพื่อซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดทุกๆ
สัปดาห์ รวมทั้งสุ่มปลามาตรวจสอบน้ำหนักเพื่อปรับปริมาณอาหารที่ให้ได้อย่างเหมาะสม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)